Apple Watch ได้ครองตลาดสมาร์ทว็อทช์ทั่วโลกมากถึง 50.7% เมื่อไตรมาสที่ 4 ปี 2018 ที่ผ่านมา โดย Samsung และ Fitbit นั้นมีเพียง 13.2% และ 12.7% ตามลำดับ โดยมียอดจำหน่ายสมาร์ทว็อชท์ทั่วโลกมากถึง 18 ล้านเรือน
นั่นหมายความว่า Apple Watch ได้กลายเป็นสมาร์ทว็อทช์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกในขณะนี้ อยู่เหนือคู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างชัดเจน
นับตั้งแต่ Apple Watch ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2014 ก็จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและฟีเจอร์ต่าง ๆ ตลอดมา แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ควรจะเพิ่มเข้ามาใน Apple Watch ที่จะเปิดตัวในปี 2019 นี้
1. ติดตามการนอน
เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา Apple Watch ได้อัพเกรดฟีเจอร์ด้านสุขภาพครั้งใหญ่ โดยการเพิ่มฟีเจอร์การตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจลงไป เพื่อช่วยเตือนโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้
และถึงแม้ว่า Apple Watch จะสามารถแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันได้ แต่ก็ยังไม่สามารถติดตามคุณภาพในการนอนได้ ซึ่งต้องใช้ แอป Third Party ช่วยในการติดตามการนอน
ต่างจากคู่แข่งอย่า Fitbit ที่สามารถตรวจวัดคุณภาการนอนได้อย่างละเอียด
ทาง Bloomberg ได้รายงานว่า Apple กำลังทดสอบฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ และคาดว่าจะพร้อมใช้งานในปี 2020
2. ใช้แบตเตอรีได้ยาวนานขึ้น
เพื่อที่จะใช้ฟีเจอร์ติดตามคุณภาพการนอนได้นั้น ผู้ใช้จำเป็นต้องใส่ Apple Watch ตอลดทั้งคืน ซึ่งเป็นจุดด้อยของ Apple Watch ในปัจจุบัน ยังไม่ใช้พลังงานแบตเตอรีได้จำกัด
จริง ๆ แล้ว Apple Watch Series 3 และ Series 4 สามารถใช้งานได้ประมาณ 2 วัน จากการชาร์จ 1 ครั้ง แต่คู่แข่งอย่าง Fitbit Versa สามารถใช้งานได้นานถึง 4 วัน จากการชาร์จ 1 ครั้ง
3. หน้าจอ Always-on
สมาร์ทโฟนของ Samsung มาพร้อมหน้าจอแบบ Always-on ที่แสดงข้อมูลสำคัญบนหน้าจอตลอดเวลา ซึ่งจะดีแค่ไหนหากฟีเจอร์หน้าจอ Always-on นี้ จะได้รับการติดตั้งใน Apple Watch รุ่นใหม่
ในปัจจุบัน มีวิธีที่จะแสดงผลบนหน้าจอ Apple Watch ด้วยกัน 2 วิธีคือ ยกข้อมือขึ้นเล็กน้อยและหันหน้าจอมาทางใบหน้าของผู้ใช้ และการแตะ 2 ครั้งบนหน้าจอ (หรืออาจใช้การหมุดเม็ดมะยม) ซึ่งกลกไกเหล่านี้สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีในชีวิตประจำวัน
แต่จะดีมากยิ่งขึ้นหากสามารถแสดงข้อมูลบนหน้าจอได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวหรือแตะหน้าจอเลย
4. แสดงสถานะแบตเตอรีของ iPhone
ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะแบตเตอรีของหูฟังไร้สาย AirPods บน Apple Watch แต่สำหรับการตรวสอบสถานะแบตเตอรีของ iPhone นั้น จำเป็นต้องใช้ผ่าน แอป Third Party
ดั้งนั้น การแสดงสถานะแบตเตอรีของ iPhone ที่อาจกำลังชาร์จอยู่บนหน้า Apple Watch ที่อยู่ข้อมือผู้ใช้โดยตรงนั้น จะทำให้การแสดงผลแบตเตอร์อุปกรณ์ต่าง ๆ ของ Apple บน Apple Watch นั้น สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
5. รูปแบบหน้าจอแบบ Third Party
ถึงแม้ว่า Apple Watch จะมีรูปแบบหน้าจอให้เลือกมากกว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง Fitbit แต่ทาง Fitbit ก็อนุญาตให้นักพัฒนาสามารถออกแบบรูปแบบนาฬิกาและปล่อยให้ผู้ที่ชื่นชอบดาวน์โหลดได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้มีการออกแบบรูปแบบหน้าจออย่างหลากหลาย และน่าสนใจมากเช่นกัน
เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้ใช้ และแข่งกับคู่แข่งที่มีอยู่มากมายในตลาดปัจจุบัน การเพิ่มการออกแบบหน้าจอแบบ Third Party จะทำให้ Apple Watch รุ่นใหม่ น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม